จากสภาพการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอน อาจส่งผลให้สถานประกอบการหลายแห่ง มีการเลิกจ้างลูกจ้าง เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างกรณีต้องออกจากงานหรือตาย จึงต้องมีการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ เพื่อเป็นเงินสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีดังกล่าว โดยกำหนดให้นายจ้างหักค่าจ้างลูกจ้างเพื่อเป็นเงินสะสม และให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบตามอัตราที่นายจ้างและลูกจ้างถูกลงทุนไว้ โดยเมื่อลูกจ้างลาออกหรือเกษียณอายุหรือตกลงเลิกสัญญา ให้นายจ้างมีหน้าที่คืนเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้าง กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจัดตั้งขึ้นตามมาตรา 126 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ภายใต้การกำกับของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีออกจากงาน หรือตาย หรือกรณีที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกำหนด โดย ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) และร่างกฎกระทรวงรวม 3 ฉบับ เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
วัตถุประสงค์
1. ทำไมต้องมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จะเพิ่มภาระให้นายจ้างไปถึงไหน ?
2. สถานประกอบการใดบ้างที่ต้องส่งเงินสมทบ หรือ ไม่ต้องส่ง
มีหลักเกณ์อย่างไร?
3. มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย มีสหกรณ์ออมทรัพย์ด้วย..ต้องส่งหรือไม่ ?
4. มีกองทุนบำเหน็จภายในเอง ได้รับการยกเว้นหรือไม่…ต้องทำอย่าไร ?
5. ลูกจ้างต่างด้าว ชาวญี่ปุ่น ยุโรปต้องนำส่งเงินสมทบไหม ?
6. เงินค่าตำแหน่ง ค่าทักษะ ค่าวิชาชีพ ค่าน้ำมันรถ ค่าคอมมิชชั่น ต้องนำมารวมส่งเงินสมทบหรือไม่ ?
7. ไม่อยากนำมารวมส่ง จะทำอย่างไร ?...สำคัญมาก
8. สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับมีอไรบ้าง ?
9. วิธีการ ขั้นตอน การขอรับเงินสงเคราะห์ต้องทำอย่างไร ?
10. นายจ้างจะไม่แจ้ง ไม่ส่งเงินสมทบ จะติดคุกกี่ปี ปรับกี่บาท ?
11. สิ่งที่นายจ้างต้องเตรียมตัวล่วงหน้า คือ อะไร ?
คุณสมบัติของผู้เข้าอบรม
เจ้าของธุรกิจ / นายจ้าง / หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่ฝ่าย HR /
วิทยากรอารมณ์ดี : สิทธิศักดิ์ ศรีธรรมวัฒนา
ผู้แต่งหนังสือ อาทิ
· 108 คดีเด็ดในวงการบริหารงานบุคคล เล่ม1
· 108 คดีเด็ดในวงการบริหารงานบุคคล เล่ม2
· 108 คำถาม / คำตอบ / คำแนะนำ ในการทำงานกับ "คน"
กฎหมายแรงงาน ประเด็นร้อนต้องรู้